2nd benefit

2nd benefit

องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ค้าน ชุด กม.เศรษฐกิจดิจิทัล เสนอ ครม.ทบทวน ชี้ขาดการคุ้มครองผู้บริโภค ปชช.ควรมีส่วนร่วมในการออกกฎหมาย

IMG 3017

 

วันนี้ (27 ม.ค./มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค) จากกรณีที่ครม.ได้เห็นชอบหลักการร่างกฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล 10 ฉบับโดยมีเนื้อหาบางส่วนที่กระทบต่อสิทธิของประชาชน วันนี้ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) จัดการแถลงข่าววิเคราะห์ชุดกฎหมายดังกล่าว ขาดมิติในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการบังคับใช้ พร้อมเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณากฎหมายอย่างรอบคอบ และให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ สร้างหลักประกันให้แก่ผู้บริโภค และมีมาตรการเยียวยาความเสียหาย

นายจุมพล ชื่นจิตต์ศิริ รองประธานคณะกรรมการองค์การอิสระฯ กล่าวว่า ร่างพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา 35 วรรค 3 ขาดมิติในการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่มากเกินไปในการเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภค ควรมีการกำหนดกระบวนการป้องกันและสอบทานอย่างในการเข้าถึงข้อมูล

“ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีความผิด ก็ควรกำหนดกระบวนการอย่างน้อย 2 ชั้นในการเข้าถึงข้อมูล โดยผ่านศาลให้อนุญาตก่อน และที่น่าสนใจคือทำไมร่างกฎหมายฉบับนี้ถึงถูกนำมาใส่ไว้กฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัลแทนที่จะใส่ไว้ในกฎหมายอาญาเกี่ยวกับเรื่องความผิดคอมพิวเตอร์” นายจุมพลกล่าว

ทางด้าน น.ส.ชลลดา บุญเกษม กรรมการองค์การอิสระฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชุดร่างกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัลนี้ มีเนื้อหาที่ลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการมากกว่าผู้บริโภค มีเนื้อหาอธิบายความผิดไว้กว้าง ไม่ชัดเจนเพราะบอกว่า ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการฯ

“แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำผิด แต่ถ้าเกิดเราเป็นเพื่อนของผู้ทำผิด แล้วตามกฎหมายระบุไว้ว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดได้ ก็แสดงว่าข้อมูลส่วนตัวของเราถูกละเมิดแล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ” นส.ชลลดากล่าว

ผศ.รุจน์ โกมลบุตร กรรมการองค์การอิสระฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าอยากให้คณะรัฐมนตรีทบทวนร่างกฎหมายทั้งหมดนี้ และต้องอธิบายให้ชัดเจนในกรณีที่มีการลิดรอนของสิทธิผู้บริโภค นอกจากนี้ควรให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการออกเสียง เพราะคนที่ได้รับผลกระทบก็คือภาคประชาชน

“กฎหมายนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ แต่ถ้าข้อมูลสามารถถูกตรวจสอบได้อย่างง่ายดายจากเจ้าหน้าที่รัฐฯ ก็จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่มั่นใจในการมาลงทุน เพราะมีความกังวลในความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ เลย” ผศ.รุจน์กล่าว

ด้าน น.ส. บุญยืน ศิริธรรม กรรมการองค์การอิสระฯ มองว่า การร่างกฎหมายดิจิทัลฉบับนี้ไม่ใช่การปฏิรูปประเทศ แต่เป็นการดึงอำนาจไว้ที่รัฐมากกว่า นอกจากนี้ถ้าเกิดกรณีมีนักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบข้อมูลของรัฐ ก็อาจเกิดการล้วงข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามได้

“กฎหมายนี้เหมือนการถอยหลังเข้าคลอง รัฐฯ ควรหาทางให้ กสทช. มีอำนาจในกำกับควบคุมเทคโนโลยี ไม่ใช่ดึงอำนาจไว้ที่รัฐอย่างเดียว” นส.บุญยืนกล่าว

คณะกรรมการฯ จึงมีข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ในฐานะผู้ทำหน้าที่พิจารณากฎหมายทั้งสิบฉบับ ดังนี้

  1. เนื่องจากกฎหมายดิจิทัลดังกล่าวมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลของผู้บริโภคทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งการนำข้อมูลของผู้บริโภคไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ดังนั้น ในกระบวนการออกกฎหมายดังกล่าว ขอให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
  2. ขอให้มีการระบุเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคอย่างชัดเจน
  3. เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม จากภาคประชาชนและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ขอเสนอให้มีการเพิ่มตัวแทนของผู้บริโภคเป็นคณะกรรมการในร่างกฎหมายทุกฉบับด้วย
  4. เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ตามร่าง พรบ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และมีบทลงโทษเจ้าหน้าที่ที่อาศัยอำนาจกฎหมายไปในทางมิชอบพร้อมทั้งมีมาตรการเยียวยาความเสียหายแก่ผู้บริโภค
  5. ในร่าง พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้มีการกำกับดูแลครอบคลุมถึงบรรดา ผู้ที่ส่งข้อความโฆษณารบกวน หรือ “สแปม” มาทาง SMS อีเมล์ หรือแม้กระทั่งสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook ซึ่งสร้างความรำคาญและเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค
  6. ในส่วนการแก้ไขเรื่องอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตาม พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นฯ เห็นว่า กสทช.ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับกิจการควรคงความเป็นอิสระ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของกสทช.ไม่ควรเอากลับเข้ามาอยู่ในกำกับของรัฐ แต่ควรแก้ไขด้วยการเพิ่มกลไกการตรวจสอบ การประเมินประสิทธิภาพการทำงานของคณะกรรมการ กสทช.ทุกชุด รวมทั้งการแก้ไขการถอดถอนให้ทำได้ง่ายมากขึ้นหากพบว่าการทำงานไม่มีประสิทธิภาพและมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส

 

บทความเนื้อหาใกล้เคียงกัน :

|