ฉลาดซื้อ เผยผลตรวจซ้ำ “สารกันบูดในแกงไตปลาแห้ง” ดีขึ้น แนะผู้บริโภคดูฉลากก่อนตัดสินใจซื้อของฝาก
ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ร่วมกับ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้ เผยผลทดสอบสารกันบูดในผลิตภัณฑ์ “แกงไตปลาแห้ง” รอบสอง 15 ตัวอย่าง ชี้สถานการณ์ดีขึ้น พบร้อยละ 26 มีปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐาน จากเดิมที่พบถึงร้อยละ 50 พร้อมแนะผู้บริโภคดูฉลากของฝากก่อนซื้อ โดยเฉพาะข้อมูลผู้ผลิต การใช้วัตถุเจือปนอาหาร วันผลิต และวันหมดอายุ
ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้ ในโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ สุ่มเก็บตัวอย่าง “แกงไตปลาแห้ง” จำนวนทั้งหมด 15 ตัวอย่าง จากตลาดสดและร้านขายของฝากในภาคใต้ ส่งตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารกันบูดประเภทกรดซอร์บิกและกรดเบนโซอิก เป็นครั้งที่ 2 (สุ่มตรวจครั้งแรก เดือนมีนาคม 2561)
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 389 พ.ศ. 2561 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 5) อนุญาตให้ตรวจพบวัตถุกันเสียประเภทกรดเบนโซอิก ปริมาณสูงสุดได้ไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักอาหาร 1 กิโลกรัม และ ประเภทกรดซอร์บิก ปริมาณสูงสุดได้ไม่เกิน 1000 มก./กก. ในหมวดอาหารประเภทเครื่องปรุงรส
โดยผลทดสอบพบว่า มีผลิตภัณฑ์แกงไตปลาแห้ง 5 ตัวอย่าง ที่ตรวจไม่พบสารกันบูดทั้งสองชนิด ได้แก่ 1) ยี่ห้อ คุณแม่จู้ จากร้านจี้ออ อ.เมือง จ.กระบี่ 2) ยี่ห้อ แม่อร กระบี่ จากร้านศรีกระบี่ อ.เมือง จ.กระบี่ 3) ยี่ห้อ จี้ถ้าน พังงา จากร้านต้นข้าว-ต้นขิง สนามบินหาดใหญ่ 4) ยี่ห้อ วิน Win จากร้านเฟิร์ส & เฟิร์น สนามบินหาดใหญ่ และ 5) ยี่ห้อ วังรายา จากร้านขายของฝาก จ.ปัตตานี
และ มี 6 ตัวอย่าง ที่ตรวจพบสารกันบูด แต่ไม่เกินมาตรฐาน ได้แก่ 1) ยี่ห้อ ณ ชุมพร จากร้านของฝาก อ.เมือง จ.ชุมพร พบปริมาณกรดเบนโซอิก เท่ากับ 23.94 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 2) ยี่ห้อ แม่จิตร สุราษฎร์ธานี จากตลาดสดเทศบาล สุราษฎร์ธานี พบปริมาณกรดเบนโซอิก เท่ากับ 136.21 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 3) ยี่ห้อ จันทร์เสวย จากร้านขายของฝาก จ.ปัตตานี พบปริมาณกรดเบนโซอิก เท่ากับ 180.83 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 4) ยี่ห้อ ลุงหรอย จากร้านปิ่นโต สนามบินหาดใหญ่ พบปริมาณกรดเบนโซอิก เท่ากับ 218.96 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 5) ยี่ห้อ เจ๊น้อง จากร้านศรีกระบี่ อ.เมือง จ.กระบี่ พบปริมาณกรดเบนโซอิก เท่ากับ 338.19 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ 6) ยี่ห้อ ชนิดา พังงา จากร้านเฟิร์ส & เฟิร์น สนามบินหาดใหญ่ พบปริมาณกรดเบนโซอิก เท่ากับ 482.62 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
ส่วนที่เหลืออีก 4 ตัวอย่าง ตรวจพบปริมาณสารกันบูดประเภทกรดซอร์บิก หรือกรดเบนโซอิกเกินมาตรฐาน ได้แก่ 1) ยี่ห้อ คุณแม่จู้ จากร้านของฝากแม่จู้ ถ.เทพกษัตรี จ.ภูเก็ต พบปริมาณกรดซอร์บิก เท่ากับ 1190.45 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 2) ยี่ห้อ แม่กุ่ย ภูเก็ต จากร้านของฝากแม่กุ่ย จ.ภูเก็ต พบปริมาณกรดซอร์บิก เท่ากับ 1107.64 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 3) ยี่ห้อ เจ้นา พังงา จากตลาดสดเทศบาล สุราษฎร์ธานี พบปริมาณกรดเบนโซอิก เท่ากับ 971.76 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ 4) ยี่ห้อ ป้าสุ สุราษฎร์ธานี จากตลาดกิมหยง อ.หาดใหญ่ พบปริมาณกรดซอร์บิก 697.23 มก./กก และกรดเบนโซอิก 332.01 มก./กก. (โดยมีปริมาณสัดส่วนของสารกันบูดทั้งสองชนิดรวมกันเกินหนึ่ง ซึ่งเกินมาตรฐาน)
มลฤดี โพธิ์อินทร์ นักวิชาการด้านอาหาร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ฉลาดซื้อเคยสุ่มตรวจแกงไตปลาแห้งครั้งแรก เมื่อเดือนมีนาคม 2561 จำนวน 10 ตัวอย่าง พบว่ามี 5 ยี่ห้อ ที่มีสารกันบูดเกินมาตรฐาน (ร้อยละ 50) ส่วนครั้งนี้ตรวจทั้งหมด 15 ตัวอย่าง พบว่ามี 4 ยี่ห้อ ที่สารกันบูดเกินมาตรฐาน (ร้อยละ 26) ซึ่งดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ใน 3 ยี่ห้อ ที่มีสารกันบูดเกินมาตรฐานในครั้งแรก คือ ยี่ห้อชนิดา จันทร์เสวย และ แม่จิตร ครั้งนี้พบว่ามีสารกันบูดไม่เกินมาตรฐาน ซึ่งขอชมเชยผู้ประกอบการที่ปรับปรุงสินค้าให้ดีขึ้น
“ที่น่าแปลกใจคือแกงไตปลาแห้ง ยี่ห้อ คุณแม่จู้ (กระปุกแก้วฝาสีทอง) ต้นตำรับดั้งเดิม จากร้านของฝากแม่จู้ จ.ภูเก็ต ที่ครั้งก่อนตรวจไม่พบสารกันบูด แต่ในครั้งนี้พบว่าเกินมาตรฐาน คือ พบกรดซอร์บิก 1190.45 มก./กก. ขณะที่ยี่ห้อเดียวกัน คือ คุณแม่จู้ (กระปุกพลาสติก ฝาสีแดง) ที่สุ่มเก็บมาจาก จ.กระบี่ ตรวจไม่พบสารกันบูด ถึงแม้ว่าจะมีส่วนผสม และ เลข อย. ต่างกัน แต่ชื่อที่เหมือนกัน ก็อาจทำให้ผู้บริโภคสับสนในการเลือกซื้อได้ว่าแบบไหนมี หรือไม่มีสารกันบูด จึงอยากฝากให้ผู้ประกอบการปรับปรุงมาตรฐานการผลิตและให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับผู้บริโภคให้ดีขึ้น” นางสาวมลฤดีกล่าว
นอกจากนี้ นางสาวมลฤดี ยังกล่าวเสริมว่า ในเรื่องการให้ข้อมูลการใช้สารกันบูด บนฉลากบรรจุภัณฑ์พบว่า แกงไตปลาแห้งที่ตรวจพบสารกันบูดทั้ง 10 ยี่ห้อ ไม่มียี่ห้อใดเลย ที่ระบุว่าใช้วัตถุกันเสีย จึงอยากให้ผู้ผลิตได้ปรับปรุงการแสดงฉลากให้ถูกต้อง เมื่อมีการใช้สารกันบูดจะมากหรือน้อยก็ต้องระบุไว้ให้ผู้บริโภคทราบ
“อีกกรณีหนึ่ง ที่ผลตรวจพบว่ามีสารกันบูดปริมาณเล็กน้อยในหลักสิบ หรือ ร้อยกว่าๆ ก็อาจเป็นไปได้ที่ผู้ผลิตไม่ได้ใส่เอง แต่สารกันบูดเหล่านี้ อาจมาจากวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสม หากจะใช้คำว่า ‘ไม่ใช้วัตถุกันเสีย หรือ ปราศจากสารกันบูด’ บนฉลาก ก็ขอให้ตรวจสอบให้แน่ใจก่อน โดยอาจส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปตรวจกับหน่วยงานที่ให้บริการตรวจคุณภาพอาหาร เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีวัตถุกันเสียจึงค่อยระบุบนฉลาก ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นว่าให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับผู้บริโภคได้” มลฤดีกล่าว
ด้าน ภญ.ชโลม เกตุจินดา ผู้แทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้ กล่าวว่า แกงไตปลาเป็นของฝากภาคใต้ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว จากผลตรวจสารกันบูด กว่าร้อยละ 73 ที่ไม่เกินมาตรฐาน หรือ ไม่พบสารกันบูดก็ถือว่าน่าชื่นชม โดยเฉพาะผู้ผลิตที่ใช้กระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurization) ซึ่งไม่ต้องใช้สารกันบูดเลย จึงอยากฝากให้ร้านค้าอื่นๆ ลองศึกษาข้อมูลเพื่อปรับเปลี่ยนไปสู่กระบวนการผลิตที่ไม่ต้องพึ่งพาสารกันบูดหากว่าเป็นไปได้ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานอาหารของฝากภาคใต้ให้ดียิ่งขึ้น
“สำหรับผู้บริโภคที่ชอบของฝากจำพวกน้ำพริกหรือแกงไตปลาแห้ง ก่อนซื้อมาทาน จึงอยากแนะนำให้ดูวันผลิตด้วย อย่าดูแค่วันหมดอายุเพียงอย่างเดียว เพราะของฝากจำพวกอาหารที่ผลิตเอาไว้นานเกินไป ก็อาจมีกลิ่นหรือรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะยังไม่หมดอายุ ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถระบุทั้งวันผลิตและวันหมดอายุ ก็จะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคในการเลือกซื้อของฝากที่มีความสดใหม่ รวมทั้งร้านค้าเองก็จะสามารถจัดเรียงสินค้าวางขายตามลำดับก่อนหลังได้อย่างถูกต้องอีกด้วย” ภญ.ชโลมกล่าว
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.chaladsue.com/article/3192