สภาองค์กรของผู้บริโภค เสนอต่อสัญญาสัมปทานสายสีเขียว ราคา 25 บาท
แถลงการณ์สภาองค์กรของผู้บริโภค
ข้อเสนอด้านราคาในการต่อสัมปทานสายสีเขียว
สภาองค์กรของผู้บริโภค เสนอต่อสัญญาสัมปทานสายสีเขียว ราคา 25 บาทก็ทำได้
จากการติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เรื่องรถไฟฟ้าและการต่อสัญญาสัมปทาน เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องต่อสัญญา สภาองค์กรของผู้บริโภคมีข้อเสนอแนะและข้อสังเกต ดังนี้
- ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสีเขียวสามารถลดเหลือเพียง 25 บาทต่อเที่ยวได้ รัฐยังมีกำไรและสามารถนำเงินส่งรัฐได้มากถึง 23,200 ล้านบาท และหากคิดค่าบริการ 49.83 บาท ตามข้อมูลที่กระทรวงคมนาคมเสนอ จะสามารถนำเงินส่งรัฐได้สูงถึง 380,200 ล้านบาท
สภาองค์กรของผู้บริโภค มีโอกาสได้รับทราบข้อมูลของกระทรวงคมนาคม ที่ถูกนำเสนอในการประชุมกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า กรุงเทพมหานครสามารถคืนหนี้สินได้ทั้งหมด แถมยังมีเงินเหลือนำส่งรัฐบาลได้มากถึง 380,200 ล้านบาท ในปี 2602 โดยใช้การคำนวณค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายในราคา 49.83 บาท สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงได้ทดลองทำข้อมูลเปรียบเทียบ หากลดราคาค่าโดยสารลงร้อยละ 50 เหลือเพียง 25 บาท ยังสามารถทำได้และมีกำไรอีกด้วย
* ตัวเลขนำส่งรัฐ อาจจะน้อยกว่านี้ได้ หากคิดภาระดอกเบี้ย จากเงินต้น 39,800 ล้านบาท ที่เหลือจากการชำระในช่วงแรก ระหว่าง ปีพ.ศ. 2573-2585
- มูลค่าหนี้ที่แท้จริงของกรุงเทพมหานคร ไม่มีความชัดเจน สร้างความสับสน
กรุงเทพมหานคร ใช้ตัวเลขหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวให้เกินจริง โดยผนวกรวมหนี้ใน 8 ปีข้างหน้าที่ยังไม่เกิดรวมเป็นหนี้สินในปัจจุบัน เพื่อเป็นข้ออ้างต่ออายุสัมปทานสายสีเขียวอีก 30 ปี รวม 38 ปีอย่างไม่โปร่งใส ไม่มีข้อมูล ไม่มีที่ไปที่มาของค่าโดยสารรถไฟฟ้า
จากตัวเลขหนี้จำนวน 148,716.2 ล้านบาท (อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ 14 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ กทม. อ้างขึ้นมาเพื่อแลกกับการต่ออายุสัมปทานแล้วคิดค่าโดยสารตลอดสาย 15 - 65 บาท หรือ 130 บาท ในการเดินทางไปกลับ เป็นการสร้างภาระให้กับผู้บริโภคล่วงหน้า 38 ปี
โดยตัวเลขที่กรุงเทพมหานคร ค้างจ่ายจริง ณ ปัจจุบัน มีเพียง 34,837.00 ล้านบาทเท่านั้น แบ่งเป็นหนี้การลงทุนโครงสร้าง 18,145.00 ล้านบาท เงินชดเชยส่วนต่อขยาย 7,090.00 ล้านบาท หนี้ค้างชำระเดินรถ 3 ปี 9 เดือน 9,602.00 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าหนี้ที่แตกต่างกันถึง 113,879.2 ล้านบาท โดยคิดรวมจากค่าใช้คืนดอกเบี้ยและค่างานระบบในอนาคต จนถึงปี 2572 ถึงหมดอายุสัมปทานเป็นเงิน 88,904 ล้านบาท และหนี้ค้างเดินรถส่วนต่อขยาย ตั้งแต่ปี 2562 - 2572 อีก 21,132 ล้านบาท ฯลฯ ทั้งหมดนี้ได้ถูกนำมาเป็นยอดหนี้รวมปัจจุบันของกทม. เพื่อแลกกับการต่ออายุสัมปทานไปอีก 30 ปี
- สภาขององค์กรผู้บริโภคเสนอให้กรุงเทพมหานคร ยุติการดำเนินการต่อสัญญาสัมปทาน และรอการตัดสินใจจากผู้ว่ากรุงเทพมหานครที่กำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พร้อมเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เช่น หนี้สิน ดอกเบี้ย การคิดค่าจ้างเดินรถ รายได้จากการเดินรถ รายได้จากการพัฒนาสถานี การโฆษณา เป็นต้น
ราคา 15 - 65 บาท ตลอดสายไปกลับ 130 บาทต่อวัน เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงถึงร้อยละ 39.27 ของค่าแรงขั้นต่ำ 331 บาท ในกรุงเทพมหานคร เป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนยาวนานถึง 38 ปี จนถึงปี 2602 ทำให้บริการรถไฟฟ้าไม่สามารถเป็นบริการขนส่งมวลชนได้จริง ไม่สามารถลดปัญหารถติดในกรุงเทพมหานครได้ ดังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคาดหวังและชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎร
สภาองค์กรของผู้บริโภค หวังว่า จะได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูล ภาระหนี้ การคิดราคาค่าบริการ การจ้างบริการเดินรถ หรือการสร้างทางเลือกของแหล่งรายได้อื่นของกรุงเทพมหานคร ในการสนับสนุนบริการรถไฟฟ้าให้เป็นบริการขนส่งมวลชนและให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ตรวจสอบสัญญาที่จะสร้างภาระให้กับผู้บริโภค
-------------------
ข่าวเกี่ยวข้อง
กรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ถก! ประเด็นค่ารถโดยสารBTS 104 บาท https://www.indyconsumers.org/main/public-service-163/1211-640210bts.html
สภาองค์กรของผู้บริโภค เกิดแล้ว ประเดิมงานแรกทำข้อเสนอนายกรัฐมนตรี https://www.indyconsumers.org/main/public-service-163/1210-tcc-08-02-64.html
มพบ. และองค์กรเครือข่ายผู้บริโภค บุกทำเนียบ ยื่นคัดค้านขึ้นราคาBTS 104 บาท https://www.indyconsumers.org/main/public-service-163/1209-104-08-02-64.html
Tags: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค , เครือข่ายผู้บริโภค, สภาองค์กรผู้บริโภค, หยุด104บาท, หยุดกทม., สภาองค์กรของผู้บริโภค