มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผย ‘โครงการสามล้อเอื้ออาทร’ อาจเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน เหตุสัญญาซื้อรถพิสดาร
สืบเนื่องจากวันที่ 2 ตุลาคม 2561 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้ขับสามล้อเครื่องกว่า 100 ราย ว่าถูกฟ้องคดีจากธนาคารออมสิน เรื่อง การผิดสัญญากู้ยืมเงิน เนื่องจากเมื่อปลายปี 2558 กรมการขนส่งทางบกเปิดโครงการ ‘สามล้อเอื้ออาทร’ ให้สิทธิจดทะเบียนรถสามล้อรับจ้างใหม่จำนวน 814 คัน โดยให้คนที่รับจ้างขับสามล้อที่มีความประสงค์จะมีรถสามล้อรับจ้างเป็นของตัวเองมาลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิจดทะเบียนได้ ในวันที่กรมการขนส่งประกาศผู้มีสิทธิจดทะเบียนนั้นมีบริษัท สหกรณ์บริการจักรเพชร จำกัด ไปเปิดบูทโฆษณาขายรถสามล้อเครื่องที่กรมการขนส่งฯ โดยที่ไม่มีป้ายราคาบอก กลุ่มผู้เสียหายจึงสอบถามและสหกรณ์บอกเพียงแต่ว่ารถสามล้อราคาไม่เกิน 300,000 บาท กลุ่มผู้เสียหายจึงจองซื้อรถกับสหกรณ์ โดยสหกรณ์ได้ติดต่อกับธนาคารออมสิน สาขาเยาวราชและสาขาพารากอน ให้มาทำสัญญาเงินกู้ที่สหกรณ์ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นการกู้ไฟแนนซ์เพื่อนำเงินมาซื้อรถสามล้อ โดยไม่ทราบว่าตัวเองได้กู้เงินไปจำนวนเท่าไร เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกให้ลงชื่อในส่วนไหนจึงลงชื่อตามทั้งหมด จากนั้นในวันรับรถผู้เสียหายจะได้รับกระดาษชี้แจงจากสหกรณ์ให้ชำระหนี้เป็นรายสัปดาห์
หลังจากทำสัญญาดังกล่าว กลุ่มผู้เสียหายได้รับเพียงสมุดบัญชีธนาคาร แต่ไม่ได้รับเงินและสัญญากู้เงิน ส่วนทะเบียนรถฉบับจริงสหกรณ์เป็นผู้เก็บไว้ จากนั้นสหกรณ์ได้แจ้งให้ผ่อนชำระค่างวดกับสหกรณ์โดยตรงหรือชำระที่ธนาคารดังกล่าวสาขาใดก็ได้ แต่ให้ชำระเงินเข้าในชื่อบัญชีของสหกรณ์ และนำใบชำระเงินของธนาคารไปแลกใบเสร็จของสหกรณ์ ผู้เสียหายแต่ละรายได้ชำระเงินให้สหกรณ์มาโดยตลอด แต่สุดท้ายกลับถูกธนาคารฟ้องเนื่องจากผิดนัดชำระหนี้ จำนวนเงินตั้งแต่ 350,000 - 500,000 บาท และเป็นการกู้สินเชื่อประเภทธุรกิจห้องแถวไม่ใช่การกู้ไฟแนนซ์ตามที่ผู้เสียหายเข้าใจ รวมทั้งมีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยกลุ่มผู้เสียหายไม่ทราบและไม่เคยทำสัญญาดังกล่าว จึงไปร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรม ยุติธรรมจังหวัด และได้รับคำแนะนำให้เข้ามาร้องเรียนที่ มพบ.
นายวันทอง ศรีจันทร์ ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายรถสามล้อเครื่อง กล่าวว่า ครั้งแรกที่ลงชื่อในสัญญา ตัวเองลงชื่อไปในสัญญาเพียงฉบับเดียว ไม่เห็นตัวเลขว่ากู้มาเท่าไร ทำเพียงลงชื่อเท่านั้น ส่วนเรื่องผู้ค้ำประกัน ถ้าไม่มีคนที่รู้จักมาค้ำประกัน สหกรณ์จะเป็นผู้จัดหาคนค้ำประกันให้ และผู้กู้ต้องไปค้ำประกันตอบแทนผู้ค้ำประกันรายนั้น ในวันรับรถได้รับรถสามล้อที่ไม่ตรงกับคุณสมบัติตามที่ตกลงกันไว้ และให้ใบสรุปการจ่ายสินเชื่อมาเพียงใบเดียว ตัวเองจ่ายหนี้ตามที่ตกลงกับสหกรณ์มาตลอด เมื่อได้รับหมายศาลพบว่าตัวเองถูกธนาคารฟ้องและในเอกสารท้ายคำฟ้องดังกล่าวได้แนบสำเนาสัญญากู้มาด้วย เมื่อตรวจสอบยอดกู้ในสัญญากู้ปรากฏว่ามียอดสูงกว่าใบสรุปการจ่ายสินเชื่อ เช่น ในสัญญากู้ระบุว่า 500,000 บาท แต่ในใบสรุปสินเชื่อแจ้งว่า 360,000 บาท โดยมีส่วนต่างหายไป 140,000 บาท และมีสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสัญญา โดยที่ตัวเองไม่ได้ทำ
นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มพบ. กล่าวว่า ธนาคารควรจะตรวจสอบว่าเหตุใดจึงมีการให้สินเชื่อในลักษณะเช่นนี้ และเหตุใดจึงไปทำสัญญากันที่สหกรณ์และไม่ได้มอบคู่ฉบับของสัญญาต่างๆ ที่ให้กลุ่มผู้เสียหายลงชื่อกับกลุ่มผู้เสียหายมา อีกทั้งในการลงชื่อในหนังสือยินยอมมอบเงินที่กู้ให้กับสหกรณ์นั้นได้สอบถามความประสงค์ของกลุ่มผู้เสียหายก่อนหรือไม่ ส่วนกรมส่งเสริมสหกรณ์ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของตัวเองไปพบข้อเท็จจริงดังกล่าว ต้องตรวจสอบดูว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย
“หลังจากที่ มพบ. นัดเจรจา มีเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์มาชี้แจงว่าได้ตรวจสอบกับสหกรณ์แล้ว สหกรณ์แจ้งว่ามีหนังสือยินยอมของผู้เสียหายให้สหกรณ์เป็นผู้รับเงินจากธนาคารแทน แล้วสหกรณ์นำเงินที่ได้รับจากธนาคารไปฝากไว้กับสหกรณ์ โดยกลุ่มผู้เสียหายได้เซ็นชื่อหนังสือยินยอมให้สหกรณ์ถอนเงินที่ฝากไว้กับสหกรณ์ได้ และยังพบว่าในการซื้อรถสามล้อดังกล่าว กลุ่มผู้เสียหายต้องทำสัญญากู้กับสหกรณ์ไว้อีกหนึ่งฉบับด้วย” นายเฉลิมพงษ์กล่าว
นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มพบ. กล่าวว่า จากการดูข้อมูลของผู้ร้องเรียน นอกจากกรณีของรถสามล้อแล้ว ยังมีกรณีการกู้ยืมเงินเพื่อซ่อมรถและการกู้ยืมเงินเพื่อกู้ซื้อรถเมล์ ซึ่งมีการกระทำในแบบเดียวกันกับกรณีของรถสามล้อ
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการฯ มพบ. กล่าวว่า มพบ. ได้มีการเจรจาและประชุมเพื่อแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าว 2 ครั้ง กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเรียกร้องให้ธนาคารออมสินถอนฟ้องและยุติการดำเนินคดี เนื่องจากเป็นการทำสัญญาที่ไม่ตรงกับเจตนาของผู้เสียหาย รวมถึงปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรจะแจ้งให้ผู้บริโภคได้ทราบ มพบ. จะเป็นผู้แทนในการนำผู้เสียหายทั้งหมดไปร้องกับกองบังคับการปราบปราม ในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้