Written on . Posted in ด้านสินค้าและบริการทั่วไป
คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ( คอบช. ) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ติดตามปัญหาสถานการณ์ผู้บริโภค กรณีร้านทองมีการรับซื้อทองในราคาต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด เรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเร่งตรวจสอบโดยทันที เพราะพบว่ามีผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก
Written on . Posted in ด้านสินค้าและบริการทั่วไป
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผย ‘สถานการณ์ผู้บริโภค ทั้งปี 2562’ พบ ‘ปัญหาโฆษณาเกินจริง’ ในด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยังเป็นปัญหามากที่สุด
วันที่ 14 มกราคม 2563 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ร่วมกับเครือข่ายผู้บริโภค 7 ภาค เปิดเผยสถานการณ์ผู้บริโภคปี 2562 โดยในปีที่ผ่านมาได้ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคทั้งหมด จำนวน 4,182 ราย ซึ่งได้มีการแบ่งปัญหาของผู้บริโภคออก 7 ด้าน ได้แก่ ด้านการเงินการธนาคาร ด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ด้านบริการสาธารณะ ด้านสินค้าและบริการทั่วไป ด้านสื่อและโทรคมนาคม ด้านที่อยู่อาศัย และด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข
ปัญหาด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยังคงเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบและได้ร้องเรียนเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง จำนวน 1,534 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 36.68 รองลงมา คือ ด้านบริการสาธารณะ มีผู้ร้องเรียน จำนวน 820 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 19.61 ส่วนอันดับสาม คือ หมวดบริการสุขภาพและสาธารณสุข มีผู้ร้องเรียน จำนวน 703 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 16.81
สำหรับปัญหาที่พบในด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ (1,534 ราย) ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเดิม คือ การโฆษณาอันเป็นเท็จหลอกลวง โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ทำให้เข้าใจผิดและหลงเชื่อได้ เช่น ใช้แล้วผิวขาวกระจ่างใสภายใน 5 นาที หรือภายใน 3 – 7 วัน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่มีฉลาก หรือไม่มีฉลากภาษาไทย ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่มีเครื่องหมาย อย. โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ หรือในยารักษาโรคที่อวดอ้างสรรพคุณสามารถรักษาโรคได้ 108 โรค และเนื่องจากโฆษณาดังกล่าวมักโฆษณาผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุชุมชน ทำให้บุคคลที่มักตกเป็นเหยื่อ คือ กลุ่มผู้สูงอายุและชาวบ้านในชุมชน ในขณะเดียวกันวิธีการโฆษณาขายยาหรืออาหารเสริมผ่านรถเร่ขายของในชุมชน ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่พบว่า มีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ฉลากได้ถูกสั่งยกเลิกไปแล้วแต่ยังพบว่ามีขายในรถเร่นั้นๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ร้องเรียนและศูนย์ร้องเรียนที่เฝ้าระวัง ได้แจ้งเรื่องถึงผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งก็ใช้ระยะเวลายาวนาน อีกทั้งผลิตภัณฑ์บางชนิดที่พบปัญหาในลักษณะดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกนำออกจากตลาดร้านค้าแต่อย่างใด
ส่วนด้านบริการสาธารณะ (820 ราย) พบว่า รถรับส่งนักเรียนเป็นกลุ่มที่พบปัญหามากสุด โดยพบปัญหาที่เจ้าของรถรับส่งนักเรียนใช้รถผิดประเภท เช่น ใช้รถสองแถวที่ไม่ได้มีป้ายที่ระบุว่าเป็นรถรับส่งนักเรียน รถไม่ได้มาตรฐาน หรือเบาะนั่งไม่ได้มาตรฐาน รองลงมาเป็นกลุ่มรถสาธารณะ อาทิ รถตู้โดยสาร หรือรถทัวร์โดยสาร พบปัญหา เรื่อง พนักงานขับรถมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ พูดจาไม่สุภาพ ใช้โทรศัพท์โดยไม่ใช้หูฟังสมอลทอล์ก หรือการขับรถเร็ว
นอกจากปัญหาเรื่องรถโดยสารสาธารณะ ยังพบปัญหาในเรื่องสายการบินล่าช้าอยู่บ่อยครั้งจนทำให้ผู้โดยสารได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ยังมีประเด็นเรื่อง ‘การขึ้นราคาค่าผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมือง - โทลล์เวย์)’ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2562 เป็นประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมาก อีกทั้ง มพบ. ยังได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนคำพิพากษาจะถึงที่สุดให้หยุดขึ้นค่าผ่านทางดังกล่าว เนื่องจากไม่เป็นธรรมกับประชาชนผู้บริโภค รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอย่างประเด็น ‘การต่ออายุสัญญาสัมปทานให้ BEM ไปอีก 15 ปี 8 เดือน’ ที่ตอนนี้กำลังจะมีรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้
สุดท้าย คือ ด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข (703 ราย) เรื่องร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องการให้คำปรึกษา การย้ายสิทธิ หรือการสอบถามสิทธิประโยชน์ ซึ่งผู้บริโภคในต่างจังหวัดมักจะมีการขอคำปรึกษามากสุด เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่อาจไม่สามารถรับข่าวสารได้เพียงพอ หรือเทคโนโลยีเข้าไม่ถึงมากเท่าที่ควร จึงอาจทำให้การรับข่าวสารจากหน่วยงานได้ไม่ครบ หรือไม่ได้รับเลย ดังนั้น การลงพื้นที่ให้ความรู้เรื่องสิทธิกับผู้บริโภคในชุมชนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จากปัญหาที่กล่าวมานี้ เครือข่ายผู้บริโภคในภาคต่างๆ ก็ได้ลงพื้นที่ จัดเวทีให้ความรู้ อบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การพิทักษ์สิทธิอันพึงมีพึงได้เพื่อให้ความรู้กับคนในชุมชนอย่างต่อเนื่องให้ข้อมูลเบื้องต้น และแนะนำการติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ เช่น สายด่วน สปสช. หมายเลข 1330 และประกันสังคม หมายเลข 1506 เพื่อให้ผู้บริโภคทราบสิทธิ และ สามารถดำเนินการด้วยตนเอง หรือเตรียมเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่ได้ถูกต้อง
Written on . Posted in ด้านสินค้าและบริการทั่วไป
วันนี้ (25 พ.ค.60) เวลา 14.00 น. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร่วมกับ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) แถลงผลการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างกลุ่มผู้บริโภคที่ร้องเรียนกับมูลนิธิ ฯ
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า หลังจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคประกาศ ฟ้องคดีแบบกลุ่มแทนผู้บริโภค กรณีกระทะโคเรียคิงที่โฆษณาทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของการโฆษณา และคุณภาพสินค้าไม่เป็นไปตามที่มีการโฆษณา ถือว่าเป็นการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมายต่อผู้บริโภค โดยมีผู้บริโภคประสงค์จะฟ้องคดีแบบกลุ่ม จำนวน 109 ราย
โดยขั้นตอนการทำงานของมูลนิธิฯ ได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยกับบริษัท Wizard Solution จำกัด หรือ Korea King (ประเทศไทย) ในวันนี้ (25 พ.ค.) แต่ทางตัวแทนของบริษัทได้แจ้งกับมูลนิธิ ฯ ว่า ไม่ประสงค์จะเจรจา และจะดำเนินการเยียวยากับผู้บริโภคเอง โดยให้ผู้บริโภคติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทฯ ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิฯ จึงเดินหน้าฟ้องคดีให้แก่ผู้บริโภค โดยจะฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่ม และเชื่อว่าคดีนี้จะเป็นคดีผู้บริโภคตัวอย่าง เพื่อทำให้ภาคธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับการโฆษณาสินค้าและคุณภาพสินค้าเป็นไปตามที่โฆษณาให้ดีมากขึ้น
นายศิษฐวัศ ภาคินสกุลพัฒน์ ทนายอาสา รับผิดชอบคดีนี้ของมูลนิธิ ฯ ขณะนี้ได้เตรียมจัดทำคำฟ้อง และเห็นว่า การฟ้องแบบกลุ่ม จะทำให้ผู้บริโภคทุกคนได้รับความเป็นธรรม เพราะหากผู้บริโภคแต่ละคนไปฟ้องคดีจะเป็นภาระกับผู้บริโภคมมาก โดยกรณีนี้จะคุ้มครองผู้บริโภคทุกคนที่ได้รับความเสียหายจากการซื้อสินค้าหรือใช้สินค้าดังกล่าว
นายภูวดิท ชลาธารโฆษิต ตัวแทนผู้เสียหาย ที่ซื้อกระทะโคเรียคิง บอกเหตุผลว่า ตนเองมีปัญหาสุขภาพ เป็นความดันสูง ไขมัน เห็นว่ากระทะนี้เคลือบ ๘ ชั้นไม่ต้องใช้น้ำมัน และเห็นโฆษณาบ่อยมาก และพรีเซ็นเตอร์ทำให้เห็นน่าเชื่อถือ ก็ตัดสินใจซื้อ
นางสาวบุญยืน ศิริธรรม กรรมการ คอบช. กล่าวว่า ความเสียหายของผู้บริโภคในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลของการการโฆษณาเกินจริง ซึ่งแม้ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.จะออกมาดำเนินการระงับโฆษณาดังกล่าว และให้กลับไปแก้ไข คอบช. ขอให้บังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคกำหนดบทลงโทษทางอาญา ในความผิดฐานโฆษณาเกินจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น ในเมื่อ สคบ.พิจารณาว่าเป็นโฆษณากระทะเกินจริง เหตุใดจึงแค่ระงับการออกอากาศชิ้นงานโฆษณาเท่านั้น ไม่ได้มีมาตรการลงโทษทางอาญาจากการโฆษณาเกินจริงด้วย การสั่งให้ระงับโฆษณา และนำโฆษณาไปแก้ไขให้ถูกต้อง อาจเป็นมาตรการที่ถือว่าเบาเกินไป เมื่อเทียบกับความเสียหายของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง
นางสาวนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการประชุมหารือกับตัวแทนผู้บริโภคที่ร้องเรียนและร่วมฟ้องคดีกับมูลนิธิฯ ในครั้งนี้ เห็นร่วมกันว่า จะเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินตามราคาของกระทะที่ผู้บริโภคได้ซื้อไป ซึ่งรุ่นไดมอนด์อยู่ที่ราคา 3,900 บาท และรุ่นโกลด์ ราคา 3,300 บาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ค่าเดินทางเพื่อติดต่อร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มีหนังสือไปยังกรมศุลกากร เพื่อขอข้อมูลจำนวนสินค้าและราคานำเข้าของสินค้าดังกล่าว เพื่อประกอบการดำเนินคดี และในระหว่างนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานต่างๆ เพื่อจัดทำคำฟ้องคดีแบบกลุ่ม ซึ่งคาดว่าจะฟ้องได้ ภายในเดือนมิถุนายนนี้
นอกจากนี้ ในตลาดยังพบว่ามีสินค้าอื่นๆ ที่ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาปลอม แล้วค่อยลดลงมา สร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้าอื่นๆ เช่น เครื่องออกกำลังกาย เครื่องสำอาง สินค้าต่างๆ ซึ่งเสนอขายผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ที่ยังมีการโฆษณาในลักษณะนี้ ไร้การควบคุม และกำลังแพร่หลายในสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้อง ควรเข้มงวดในการตรวจสอบโฆษณาเหล่านี้ ก่อนออกสู่สายตาของผู้บริโภค
ติดต่อ-ประสานงาน:
นายโสภณ หนูรัตน์
โทร. 086-8902400 หรือ 02-248 3737 ต่อ 121
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจฟ้องคดี